วันศุกร์ที่ 2 ธันวาคม พ.ศ. 2554


หน่วยที่1
เทคโนโลยีสารสนเทศและการสื่อสาร
......1. กำเนิดเทคโนโลยีสารสนเทศและการสื่อสาร
..... มนุษย์เป็นสัตว์สังคมที่มีการตั้งถิ่นฐานอยู่กันเป็นหมู่เหล่าตั้งแต่โบราณกาลมาแล้ว หน่วยเล็กที่สุดของสังคมคือ ครอบครัวขนาดใหญ่ขึ้นมาเป็นหมู่บ้าน ตำบล อำเภอ จังหวัด จนในที่สุดเป็นเมืองและเป็นประเทศตามลำดับมนุษย์แต่ล่ะหมู่เหล่ามีการติดต่อสื่อสารพบปะกันเพื่อแลกเปลี่ยนอาหารสิ่งของเครื่องใช้ยารักษาโรคที่ชุ่มชนของตนไม่สามารถผลิตได้หรือผลิตได้ไม่เพียงพอ ฯลฯจนเป็นการค้าขายระหว่างหมู่บ้านตำบลเมืองและประเทศขึ้นการติดต่อในยุคแรกๆเป็นการบอกกันปากต่อปากต่อมามีการสื่อสารกันด้วยตัวอักษรที่จารึกบนวัสดุต่างๆซึ่งกลายมาเป็นการส่งจดหมายถึงกันจากนั้นมีการสื่อสารกันด้วยวิธีการที่หลากหลายและมีความรวดเร็วมากขึ้นทำให้เกิดการพัฒนาอย่างต่อเนื่องของเทคโนโลยีโทรคมนาคมซึ่งอาศัยหลักวิชาด้านวิศวกรรมไฟฟ้าและอิเล็กทรอนิกส์เปลี่ยนคำพูดข้อความหรือภาพเป็นสัญญาณไฟฟ้าส่งไปตามสายหรือเปลี่ยนเป็นคลื่นแม่เหล็กไฟฟ้าเรียกว่าคลื่นวิทยุกระจายไปในอากาศเมื่อถึงปลายทางสัญญาณหรือคลลื่นที่ส่งไปจากต้นทางพัฒนาการของเทคโนโลยีโทรคมนาคมนี้ทำให้คนที่อยู่คนล่ะซีกโลกกันสามารถรับรู้ข่าวสารของกันและกันได้ภายในชั่วพริบตาเพราะอัตราความเร็วของการเดินทางของสัญญาณไฟฟ้าตามสายหรือคลื่นวิทยุนั้นอยู่ในระดับเดียวกับความเร็วของแสง เช่นเหตูร้ายจากการก่อวินาศกรรมโดยใช้เครื่องบินโดยสารที่ถูกจี้บังคับมาชนตึกเวิล์ดเทรดเซ็นเตอร์ที่นครนิวยอร์ก เมื่อวันที่ 11กันยายน พ.ศ. 2544 นั้น คนทั้งโลกได้เห็นเหตุการณ์สดๆผ่านเครือข่ายโทรทัศน์ของ ซีเอ็นเอ็น
......เทคโนโลยีสสารสนเทศเป็นเทคโนโลยีใหม่ที่พึ่งขึ้นมาในช่วงเวลาประมาณ 20ปีที่ผ่านมานี่เองเป็นเทคโนโลยีที่เกิดจากการรวมเทคโนโลยี 2 ประเภทเข้าด้วยกันคือเทคโนโลยีคมนาคมกับเทคโนโลยีคอมพิวเตอร์คำว่าสารสนเทศหมายถึง ตัวเนื้อหาสาระของข้อมูลข่าวสารโดยใช้คอมพิวเตอร์ทำหน้าที่รวบรวมจัดเก็บปรับเปลี่ยนรูปแบบของสารสนเทศและใช้เทคโนโลยีโทรคมนาคมซึ่งพัฒนามาจากเครือข่ายโทรทัศน์ และเครือข่ายวิทยุมาสร้างระบบเครือข่ายคอมพิวเตอร์ขึ้นเป็นการนำเอาความสามารถของคอมพิวเตอร์(คำนวณ ประมวลผล เปรียบเทียบ และตรวจสอบได้อย่างถูกต้อง และแม่นยำ)มารวมกับความสามารถของระบบโทรคมนาคม(ติดต่อได้รวดเร็วและกว้างไกล) ดังนั้นเทคโนโลยีสารสนเทศจึงหมายถึงเทคโนโลยีที่ใช้ระบบเครือข่ายคอมพิวเตอร์มาจัดเกี่ยวกับสารสนเทศนั้นเอง



เทคโนโลยีเกิดจากการรวมเทคโนโลยี 2 ประเภท คือ เทคโนโลยีคมนาคม เทคโนโลยีคอมพิวเตอร์
      
           สารสนเทศ หมายถึง ตัวเนื้อหาสาระของข้อมูลข่าวสาร โดยใช้คอมพิวเตอร์ทำหน้าที่รวบรวม จัดเก็บ ปรับเปลี่ยนข้ออมูลของสารสนเทศ เทคโนโลยีคมนาคมซึ่งพัฒนามาจากเครื่อข่ายโทรทัศน์และเครื่อข่ายวิทยุมาสร้างระบบเครือข่ายคอมพิวเตอร์ขึ้น
           เทคโนโลยีสารสนเทศ หมายถึง เทคโนโลยีที่ใช้ระบบเครือข่ายคอมพิวเตอร์มาจัดการเกี่ยวกับสารสนเทศนั่นเอง
           เทคโนโลยีสารสนเทศและการสื่อสาร  ICT (  Information and Communication
Technology  ) หมายถึง การนำเทคโนโลยีด้านคอมพิวเตอร์และเทคโนโลยีด้านการสื่อสารโทรคมนาคมมาช่วยในการรวบรวม ประมวลผล สรุป จัดเก็บ และเผยแพร่ สารสนเทศที่ได้ในรูปแบบต่าง ๆ เช่น ตัวเลข ตัวอักษร ภาพ และเสียง เพื่อให้เกิดประโยชน์สูงสุด          
ความเป็นมาเทคโนโลยีสารสนเทศและการสื่อสาร
1. เทคโนโลยีคมนาคม เริ่มจากกราประดิษฐ์โทรเลขของ แซมวล มอร์ในปี พ.ศ. 2380 นับว่าเป็นครั้กแรกที่ข่าวสารถูกแปลงเป็นสัญญาณไฟฟ้าส่งไปตามสายเป็นระยะทางใกล้ๆ ได้ โดยอาศัยวิธีการเข้ารหัสตัวอักษร เป็นรหัสที่ประกอบด้วยจุด (.) และขีด (-)  
      ในปี พ.ศ. 2401 ได้มีการวางสายเคเบิลใต้มหาสมุทรแอตแลนติก ทำให้เกิดการสื่อสารข้ามทวีประหว่างทวีปอเมริกากับทวีปยุโรปเป็นครั้งแรก
      ในปี พ.ศ. 2419 อเล็กซานเดอร์ แกรแฮม เบลล์ ได้ประดิษโทรศัพท์และ ได้ตั้งชุมสายโทรศัพท์แห่งแรกที่เมื่องนิวเฮเวน รัฐคอนเนตทิคัต สหรัฐอเมริกา
      ในปี พ.ศ. 2504 บริษัททีแอนด์ที ได้สร้างดาวเทียมสื่อสาร เทลสตาร์ 1 เป็นดาวเทียมสื่อสารดวงแรกของโลก
2. เทคโนโลยีคอมพิวเตอร์  เริ่มจากเครื่องมือในการคำนวณเครื่องแรกคือ "ลูกคิด"  (Abacus) ที่สร้างขึ้นในประเทศจีน        จนกระทั่งในปี พ.ศ. 2376นักคณิตศาสตร์ชาวอังกฤษ ชื่อ ชาร์ล แบบเบจ ได้ประดิษฐ์เครื่องวิเคราะห์สามารถคำนวณหาค่าตรีโกณมิติได้ ฟังชันก์ชั่นต่างในเชิงคณิตศาสตร์ในทางคณิตศาสตร์การทำงานเรื่องนี้แบ่งออกเป็น 3 ส่วนคือ ส่วนเก็บข้อมูล ส่วนคำนวณ และส่วนควบคุม คอมพิวเตอร์แบ่งออกเป็น 5 ยุค
           ยุคที่1 พ.ศ. 24899-2501 เป็นการผลิตคอมพิวเตอร์ที่ไม่ใช่เครื่องคำนวณ โดยเมาลีและเอ็กเคอร์ด ได้นำแนวคิดนั้นมาประดิษฐ์คอมพิวเตอร์ที่ปะสิทธิภาพมากเครื่องหนึ่ง เรียกว่า    ENIAC เป็นคำย่อของ Electronics Numerical Integrator and Computer ซึ่งต่อมาได้ทำการปรับปรุงการทำงานของคอมพิวเตอร์ให้มีประสิธิภาพมากขึ้นและได้ประดิษฐ์เครื่อง UNIVAC ( Universal Automatic Computer )ขึ้นเพื่อใช้สำรวจสำมะโนประชากรประจำปี
UNIVAC เป็นคอมพิวเตอร์เครื่องแรกของโลกที่ถูกใช้งานในเชิงธุรกิจ จึงนับเป็นการเริ่มของเครื่องคอมพิวเตอร์ในยุคแรกอย่างแท้จริง
           ยุคที่2 พ.ศ. 2502-2506 มีการนำทรานซิสเตอร์ มาใช้ในเครื่องคอมพิวเตอร์จึงทำให้เครื่องมีขนาดเล็กลง และสามารถเพิ่มประสิทธิภาพในการทำงานให้มีความรวดเร็วและเม่นยำมากยิ่งขึ้น
           ยุคที่3 พ.ศ. 2507-2512 ได้มีการประดิษฐ์คิดค้นเกี่ยนวกับวงจรรวม (Integrated-Circuit) หรือ IC ซึ่ง ใอที นี้ทำให้ส่วนประกอบและวงจรต่างๆ สามารถวางลงได้บนแผ่นชิป (chip) เล็กๆ เพียงแผ่นเดียว จึงมีการนำเอาแผ่นชิปมาใช้แทนทรานซิสเตอร์ทำให้ประหยัดเนื้อที่ได้มาก
           ยุคที่4 พ.ศ. 2513-2532 เป็นยุคที่นำสารกึ่งตัวนำสร้างเป็นวงจรรวมความจุสูงมากซึ่งสามารถย่อส่วนไอทีธรรมดาหลายๆ วงจรเข้ามาในวงจรเดียวกัน และมีการประดิษฐ์ไมโครโพรเซสเซอร์ (Microprocessor) ทำให้เครื่องมีขนาดเล็กลงราคาถูก และมีความสามารถในการทำงานสูงและรวดเร็วมาก จึงทำใหมีคอมพิวเตอร์ส่วนบุคคลถือกำเนิดขึ้นมาในยุคนี้
           ยุคที่5 พ.ศ. 2533-ปัจจุบัน มีการพัฒนาเครื่องคอมพิวเตอร์แบบพกพาขนาดเล็ก ขึ้นมาใช้งานในยุคนี้

           ลักษณะของระบบคอมพิวเตอร์
ระบบปัญญาประดิษฐ์มี 4 ลักษณะ ได้แก่
           1) ระบบหุ่นยนต์ หรือ แขนกล (Roboties or Robot arm System ) มีจุดประสงค์เพื่อทำงานแทนมนุษย์ในงานที่ต้องการความเร็ว หรือเสี่ยงอัตราย เช่น แขนกลในโรงงานอุตสาหกรรม หรือหุ่นยนต์กู้ระเบิด
           2) ระบบประมวลภาษา ( Natural Language processing System ) คือ การพัฒนาให้ระบบคอมพิวเตอร์สามารถสังเคราะห์เสียงที่มีอยู่ในธรรมชาติ เพื่อสื่อความหมายกับมนุษย์
           3) ระบบการรู้จำเสียงพูด (Speech Recognition) คือ การพัฒนาให้ระบบคอมพิวเตอร์เข้าใจภาษามนุษย์ และสามารถจดจำคำพูดของมนุษย์ได้อย่างต่อเนื่อง
           4) ระบบผู้เชี่ยวชาญ ( Expert System ) คือ การพัฒนาให้ระบบคอมพิวเตอร์มีความรู้ รู้จักใช้เหตุผลในการวิเคราะปัญหา โดยใช้ความรู้ที่จากประสบการณ์ในการแก้ปัญหาหนึ่ง ไปแก้ไขปัญหาอื่นอย่างมีเหตุผล ระบบนี้จำเป็นต้องอาศัยฐานข้อมูล ( Datdbase ) ซึ่งมนุษย์มีความรู้ความสามารถป็นผู้กำหนดองค์ความรู้ไว้ในฐานข้อมูลดังกล่าว
         
เทคโนโลยีจำแนกออกเป็น 3 ลักษณะ คือ
       1) เทคโนโลยีในลักษณะของบวนการ ( Process )
       2) เทคโนโลยีในลักษณะของผลผลิต (product and product)
       3) เทคโนโลยีในลักษณะผสมของกระบวนการและผลผลิต ( Process and product )
ทัศนะเกี่ยวกับเทคโนโลยี โดยแบ่งออกเป็น 2 ลักษณะ
          1) ทัศนะด้านวิทยาศาสตร์กายภาพ มุ้งเน้นการพัฒนาวัสดุอุปกรณ์ให้เจริญก้าวหน้าด้วยความรู้ด้านวิทยาศาสตร์ วิศวกรรมศาสตร์เพื่อสามารถนำมาประยุกต์ใช้กับการดำเนินงานสาขาต่างๆ ใหมีประสิทธิภาพสูงขึ้น
         2) ทัศนะด้านพฤติกรรมศาสตร์ เป็นเทคโนโลยีที่มุ่งเน้นการคิดและกระบวนการทำงานอย่าเป็นระบบ

ความสำคัญของเทคโนโลยีสารสนเทศ
           ปัจจุบันเทคโนโลยีได้เข้ามามีบทบาทอย่างแพร่หลายเป็นที่สนใจของทุกคนทุกมุมโลกทุกสาขา สามารถนำมาใช้ในการดำเนินงานและชีวิตประจำวันได้อย่างกว้างขว้าง การจัดการเรียนรู้และการศึกษาในสมัยนี้จึงมีหลักสูตรที่เกี่ยวกับเทคโนโลยีเข้าไปด้วย
เทคโนโลยีสารสนเทศมีความสำคัญต่อการพัฒนาประเทศในด้านต่างๆ เช่น
           1) ด้านวิชาการ ผู้เรียนมีความสะดวกในการศึกษาค้นคว้าวิจัย
           2) การดำรงชีวิตประจำวัน ช่วยให้มีความสะดวกคล่องตัวและรวดเร็วในการทำกิจกรรมต่างๆสามารถทำงานได้หลายอย่างในเวลาเดียวกัน
           3) การดำเนินธุรกิจ ทำให้มีการแข่งขันระหว่างธุรกิจมากขึ้น ทำให้ต้องมีการพัฒนาองค์กรเพื่อให้ทันกบข้อมูลอยู่ตลอดเวลา
           4) ด้านการติดต่อสื่อสาร ให้ผู้คนในสังคมมีการติดต่อสื่อสารซึ่งกันและกันได้อย่างรวดเร็วและกว้างขว้าง
           5) ด้านผลผลิต ช่วยให้ทำงานได้มากขึ้นหรือช่วยลดความเสี่ยงในงานบางอย่างโดยคอมพิวเตอร์ทำงานแทนซึ่งได้ผลถูกต้องและรวดเร็ดเร็ว

กระแสโลกาวิวัตน์ของเทคโนโลยีสารสนเทศและการสื่อสาร
           มีการนำเทคโนโลยีคอมพวเตอร์เข้ามาใช้งานในทุกสาขาอาชีพ เช่น การสื่อสาร การธนาคาร การบิน วิศวกรรม สถาปัตยกรรม การแพทย์ การศึกษาหรือการเรียนการสอนซึ่งส่งผลให้วิทยาการต่างๆ ของโลกทันเหตูการณ์

บทบาทของเทคโนโลยีสารสนเทศและการสื่อสารที่มีต่อสังคม
        - ช่วยให้ประชาชนมีคุณภาพชีวิตที่ดีขึ้นจากการสื่อสารที่รวดเร็วและกว้างไกล
          - ช่วยทำให้วิทยาการต่างๆ เจริญก้าวหน้าและทันสมัยอย่างรวดเร็ดเร็ว
          - การรับรู้และแลกเปลี่ยนข้อมูลข่าวสารของโลกเป็นไปอย่างสะดวกสบาย
          - กระจายโอกาสด้านการศึกษา ให้ผู้เรียนที่อยู่ห่างไกล
          - สามารถเผยแพร่สารสนเทศและภูมิปัญญาท้องถิ่นสู่สังคมโลกได้โดยง่าย
          - ช่วยให้เกิดนวัตกรรมใหม่ๆ อย่างต่อเนื่อง